โรงพยาบาลเอกชน อ.เมือง จ.ระยอง
ลือ "รพ.ผีสิง" หลอก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา
ลือ
ผีดุ -โรงพยาบาลเอกชน อ.เมือง จ.ระยอง ถูกทิ้งรกร้างหลังโดนสั่งปิดไปเมื่อ
3-4 ปีก่อน ชาวบ้านร่ำลือกันว่าผีดุ และเคยเห็นอะไรแปลกๆ
ทำให้มีวัยรุ่นแอบเข้าไปลองของ บางรายเจอของจริงวิ่งหน้าตั้งหนีแทบไม่ทัน
ตามข่าว
ขนลุกกันทั้งเมือง "โรงพยาบาลผีสิง"
หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง เป็นโรงพยาบาลเก่าที่หยุด
กิจการปล่อยให้ร้างมา 3-4 ปี ทิ้งตู้ยาเตียงคนไข้ไว้เกลื่อน
ประตูหน้าต่างกระจกแตก ผู้คนที่ผ่านไป มาบางคนเห็นรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก
เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา ได้ยินเสียงคนไข้ร้องโหยหวน ทั้งๆ
ที่ตึกทั้งตึกไม่มีใครอยู่ รกร้างมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด จนไม่มีใครกล้าผ่าน
ขณะเดียวกันก็มีคนเข้าไปพิสูจน์เป็นระยะๆ
แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาแทบทุกคน หลายคนบอกถูกตบหัว
เมื่อ
วันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านร่ำลือกันไปทั่วเมืองระยองว่า
มีผีอาละวาดเที่ยวตามหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่านไปม าจนหวาดผวาไปตามๆ กัน
ที่โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ตั้งอยู่หมู่ที่ 4
ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง ริมถนนสาย 36
โดยเสียงร่ำลือของชาวบ้านบอกว่าเห็นผีเข็นรถคนไข้เดิ นไปมาภายในโรงพยาบาล
และมีเสียงร้องโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง
จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นก ลางวันหรือกลางคืน รายการวิทยุบุกพิสูจน์ร.พ.ระยอง ล่าสุดรายการเดอะช็อกบุกพิสูจน์ ถ่ายทำแบบปูพรมทุกห้อง ไปเจอเรื่องผิดปกติที่ห้องเก็บศพ ขณะจะเข้าไป
มีเสียงเหมือนลูกบิดเปิดจากข้างในห้อง แต่พอเปิดออกดูกลับไม่พบใคร
ส่วน
โจ๋ที่เข้าไปพิสูจน์เผ่นแน่บออกมา 2 ราย รายแรกเพื่อนๆ อ้างไปเจอ
มือขนาดใหญ่โผล่มาระหว่างเข้าไป ส่วนอีกรายอ้างเจอมือผีบีบศีรษะ
จาก
กรณีที่ข่าวสดเสนอข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนจัง หวัดระยอง
มีชาวบ้านพบเห็นความเฮี้ยนตลอดเวลา ล่าสุดทีมงานรายการ "เรื่องจริงผ่านจอ"
นำอาจารย์ชื่อดังมาถ่ายภาพด้วยกล้องไฮเทค ปรากฏว่าพบพลังงานลึกลับถึง 11 จุดตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าในเรื่องนี้เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 12 ก.ค.นายโก้ พลิ้ว ทีมงานรายการเดอะช็อก ที่ออกอากาศทางคลื่นขส.ทบ.กรุงเทพเดินทาง
มาพิสูจน์ความเฮี้ยนอีกครั้งและรายงานสดออกอากาศขณะถ ่ายทำด้วย
การ
เดินทางมาครั้งนี้ทีมงานได้นำคณะมาจำนวน 7 คน มีนายสุชาติ พฤษศานิตย์
เป็นผู้ดูแล คอยพาเข้าตามจุดต่าง ๆ จนครบทุกห้อง ซึ่งการมาทำรายการครั้งนี้
ทางผู้จัดทำรายการ คือนายต๋องสั่งทีมงานเดินทางมาถ่ายภาพทุกห้อง
แบบปูพรมเพื่อจะนำมาล้างและดูสิ่งที่พบว่ามีดวงวิญญา ณติดมาหรือไม่
โดยทีมงานกล่าวว่าการเดินทาง มาถ่ายครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการถ่าย แบบปูพรมเพราะไม่เคยทำที่ไหนมาก่อนแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นต่อหน้าทีมง าน โดยมีกลุ่มวัยรุ่นจำนวน 5 คนได้หามเพื่อนและวิ่งออกมาจากประตูด้านหลัง
ก่อนที่จะวางลงกับพื้น และรีบให้เพื่อนอีกคนนำรถยนต์ที่มาขับออกไปส่ง ร.พ.ระยอง โดยมีน้ำลายฟูมปากและชักเป็นระยะๆ หลังจากได้มีการ
ปฐม
พยาบาลและฟื้นขึ้นมายังมีอาการหวาดกลัวอยู่ตลอดเว ลา
และยกมือไหว้ท่วมหัวตะโกนว่ากลัวแล้วอย่าทำผมเล ย
โดยได้สอบถามเพื่อนๆที่มาด้วยกันทราบชื่อว่านาย ไก่ ไม่ยอมบอกนามสกุล
ทำงานอยู่โรงงานแห่งหนึ่งในตัวเมือง จ.ระยอง
โดยเพื่อนๆ นายไก่เล่าว่าพวกตนเองมาพิสูจน์ผีหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอเสียที ครั้งนี้นายไก่ได้ชวนมาอีก และบอกว่าตนเองมีวิชาปราบผี
ให้ทุกคนทำตาม ก่อนที่จะเดินทางมาถึง พอเดินทางถึงนายไก่ ก็ได้ลงรถ
ซื้อเทียนจำนวน 9 เล่ม ธูป อีก 1 กำ และแลกเหรียญบาทอีกจำนวนหนึ่ง
พร้อม
กับเตรียมด้ายสายสิญจน์มาหนึ่งขด
ก่อนที่พวกตนเองทั้งหมดจะเข้าไปในห้องเก็บศพด้านหลัง ซึ่งมีต้นโพ
นายไก่ได้ทำพิธีโรยสายสิญจน์เป็น
ทางยาวจากหน้าประตูเข้าไปได้บอกว่าจะให้ผีเดินตามเส้ นด้ายสายสิญจน์
หลังจากนั้นทุกคนก็หยุดนั่งล้อมวงกันที่ในห้องล้างศพ ทำการจุดเทียนจุดธูปและยกมือไหว้
เพื่อนๆ นายไก่เล่าต่อไปว่า เมื่อพร้อมแล้ว นายไก่ก็ลงมือสวดมนต์ แต่ยังไม่ทันถึงสิบคำ นายไก่ก็ร้องโอยออกมาอย่างแรง แล้วก็สลบไป
เมื่อ
หันไปดูก็เห็นมือคนขนาดใหญ่ทุกคนตกตะลึงพอตั้งส
ติได้ก็ช่วยกันนำร่างนายไก่ออกมา ปฐมพยาบาลที่โรงพยาบาลระยองจนอาการดีขึ้น
แต่ก็ยังเพ้อไปต่างๆนานา พวกตนเองจะไม่เข้ามาอีกแล้วน่ากลัวมาก
ไม่ลบหลู่อีกแล้ว
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวและทีมงานรายการเดอะช็อก
ได้เข้าไปสำรวจจุดที่เกิดเหตุได้พบว่ามีสายสิญจน์โรย
ยาวจากประตูทางเข้าด้านหลังไปจนถึงห้องดับพักจิ ต
ปลายสายสิญจน์มีธูปที่จุดไฟแล้วตกอยู่กระจายและมีรอย เทียนหักเกลื่อนด้วย
เชื่อว่าน่าจะเป็นจุดที่กลุ่มดังกล่าวเข้ามาลองของจน เจอดี
เวลาไล่
เลี่ยกัน กลุ่มวัยรุ่นได้ช่วยกันหิ้ววัยรุ่นคนหนึ่งลงมาจากทาง
หน้าโรงพยาบาลผีสิง โดยวัยรุ่นคนดังกล่าวร้องโอดโอยและเอามือกดหัวตัวเอง
ไว้ และรีบไปส่งโรงพยาบาลระยอง เป็นรายที่สอง
ซึ่งเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า
ก่อนที่เพื่อนจะโดนผีหลอกจนเสียสตินั้น พวกตนได้ใช้ไฟฉายส่องไปตามจุดต่างๆ
ของตัวโรงพยาบาลร้าง เห็นแต่คนเต็มไปหมด
จึงคิดว่าอย่างนี้ไม่มีผีแน่ๆ
เพราะมีแต่คนเดินมาเที่ยวแน่นขนัด จึงตะโกนออกไปว่าแน่จริงออกมาสิโว้ย
ก่อนที่จะหยิบไฟฉายเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
พร้อมกัน 3 คน
หลังจากเดินเข้าไปชั้น 3 ข้างหลังเพื่อนตนเองที่ช็อกนั้น
ได้ยินเสียงเหมือนมีแผ่นฝ้าเพดานหล่นลงมาจึงหันไปดูเ พื่อนตนเองก็ร้อง
ออก
มาเสียงดังว่า โอ๊ย ช่วยด้วยมือใหญ่บีบหัว
จากนั้นก็วิ่งเอามือกุมหัวไปอย่างเร็ว
ต่อหน้าชาวบ้านที่เดินทางมาดูกันหลายร้อยคนทำเอาวิ่ง หนีกัน
แตกตื่นออกมาจากโรงพยาบาลอย่างอลหม่าน
ขณะ
เดียวกันทีมงาน รายการเดอะช็อกเจอดีอีก โดยขณะที่สายตาทุกคนของทีมงาน 7 คน
กำลังจะเปิดห้องพักศพชั้นล่าง เพื่อถ่ายภาพ ทุกคนฉายไฟไปที่ลูกบิดกุญแจ
ปรากฏว่ามีเสียงดังของลูกบิดคล้ายกับมีคนเปิดออ กให้
ได้ยินอย่างแรงทีมงานทุกคนจึงวิ่งล้อมห้องดังกล่าวไว ้
เพื่อจะได้ดูว่ามีคนอยู่ข้างในหรือไม่ แต่เมื่อเปิดออกดูพบว่าเป็นห้องทึบ
ไม่มีคนอยู่ข้างในทำให้ขนหัวลุกไปตามๆกัน
ด้านนายประวิน ชุติมาวรพันธ์
อดีต ผอ.โรงพยาบาลเอกชน
หรือโรงพยาบาลผีสิงที่เป็นข่าวเกรียวกราวอยู่ขณะนี้บ อกว่า
ตนเองเป็นเจ้าของโรงพยาบาลดังกล่าว แต่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน
จึงอยู่ต่อไปไม่ได้ ส่วนเรื่องผีที่ชาวบ้านร่ำลือกันนั้นตนเองขอยืนยันว่
าเป็นความจริงเพราะสมัยที่ตนเองเป็นผู้อำนวยการอยู่น ั้นก็เฮี้ยนอยู่แล้ว
เคยมีนายแพทย์คนหนึ่ง เดินมาถามผมว่าวันนี้มีรายการอะไร เพราะเห็นแต่คนแต่งชุดไทยสไบเฉียงกันหมด แต่ก็ไม่ได้มีงานอะไร ส่วนเรื่องยาม
นั้น
มีมาเล่าให้ตนเองฟัง ยามที่มาเฝ้าเจอกันทุกราย
มีมือขนาดใหญ่ออกมาให้เห็นบ้าง มีเด็กร้องไห้บ้าง
เห็นรถเข็นคนไข้เข็นเองบ้าง ผวาจนอยู่ไม่ได้ สำหรับตนเองนั้น
ก็ยังมีกิจการบริเวณดังกล่าวอยู่ด้วย
และขอยืนยันว่าไม่เคยคิดแม้แต่น้อยที่จะเก็บค่าเข้าด ู
เพราะตนเองรักคนระยองให้ชาวบ้านเข้าไปเที่ยว
และศึกษาเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับโรงพยาบาล แต่ขอร้องว่าอย่าไปท้าทาย
ตนเองนั้นเจอกับตัวแล้ว อย่าไปลบหลู่เขา
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ผีมี4ชนิดคือ
1. ผีสิง ( Haunting Ghosts )
ผีชนิดนี้ มีนิสัยชอบโชว์ตัววันละหลาย ๆ รอบ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน
แต่ชอบปรากฏตัว ในสถานที่เดียวซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น บ้านร้าง ดูเผิน ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กับว่า เป็นเจ้าของตึก
ที่เดินไปเดินมาธรรมดาในบ้าน แต่คนเราดันผ่านเข้าไปเห็นเอง ผีชนิดนี้ เป็นผีชนิดที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอก
มาหลอนใคร ๆ ซะหน่อย
2. ผีคนเป็น ( Ghosts of the Living )
ผีรายนี้มาแปลก เพราะตามบันทึก ของคนหลาย ๆ รายแล้ว ผู้ประสบเหตุมักยืนยันว่า เห็นคนที่
ตัวรู้จัก ซึ่งขณะนั้น เจ้าตัวอยู่ห่างออกไป หลายพันไมล์ มาปรากฏให้เห็น ส่วนมากผู้ที่มาปรากฏนี้ มักเป็นคน
เจ็บใกล้ตาย หรือผู้ที่กำลัง ประสบปัญหาวิกฤตอยู่ เลยมาปรากฏตัว เพื่อขอความช่วยเหลือ อาจจะถือได้ว่า
เป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่างหนึ่ง ผีคนเป็นนี้ มันมักจะมาปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
3. ผีมีห่วง ( Purposeful Ghosts )
มักจะเป็นผีชนิดที่มี " ความในใจ " อยากจะบอกให้เพื่อน หรือญาติรับรู้ เรียกได้ว่า เป็นผีประเภท
นอนตายตาไม่หลับ ก็ว่าได้ ผีแบบนี้ มักจะออกมาปรากฏตัวแบบเป็นใบ้ ไม่พูดไม่จา ชี้โน่นชี้นี่ลูกเดียว หรือบางที
อาจจะมาชี้ขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ให้ทายาทได้รับรู้ ( ผีอย่างงี้ น่าจะมาหาเราบ้างเนอะ )
4. ผีหลอก ( Poltergeists )
เป็นผีที่เล่น ที่ชอบออกมาหลอกมาหลอนคนเป็น ๆ ให้ตกใจเล่น บางทีก็เรียกได้ว่าเป็น ผีโรคจิต
เพราะชอบขว้างปา ข้าวของให้ตกใจเล่น ผีประเภทนี้ นักวิเคราะห์ผีบางราย สันนิษฐานว่า อาจไม่ใช่ผี แต่ว่าเป็น
ปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่ง ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะจากการสังเกตแล้ว พบว่า ในเหตุการณ์ ผีอาละวาด
แบบนี้ มักจะมีวันรุ่น อายุราว 12-16 ปีอยู่ในที่เกิดเหตุเสมอ จึงอาจเป็นไปได้ที่ จิตของวัยรุ่น ซึ่งมีอารมณ์รุนแรง
นั้น จะสร้างพลังงานพิเศษขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกยาก ๆ ว่า Psychokinesis ( PK ) ซึ่งสามารถเคลื่อนที่
วัตถุได้
ผีชนิดนี้ มีนิสัยชอบโชว์ตัววันละหลาย ๆ รอบ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน
แต่ชอบปรากฏตัว ในสถานที่เดียวซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น บ้านร้าง ดูเผิน ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กับว่า เป็นเจ้าของตึก
ที่เดินไปเดินมาธรรมดาในบ้าน แต่คนเราดันผ่านเข้าไปเห็นเอง ผีชนิดนี้ เป็นผีชนิดที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอก
มาหลอนใคร ๆ ซะหน่อย
2. ผีคนเป็น ( Ghosts of the Living )
ผีรายนี้มาแปลก เพราะตามบันทึก ของคนหลาย ๆ รายแล้ว ผู้ประสบเหตุมักยืนยันว่า เห็นคนที่
ตัวรู้จัก ซึ่งขณะนั้น เจ้าตัวอยู่ห่างออกไป หลายพันไมล์ มาปรากฏให้เห็น ส่วนมากผู้ที่มาปรากฏนี้ มักเป็นคน
เจ็บใกล้ตาย หรือผู้ที่กำลัง ประสบปัญหาวิกฤตอยู่ เลยมาปรากฏตัว เพื่อขอความช่วยเหลือ อาจจะถือได้ว่า
เป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่างหนึ่ง ผีคนเป็นนี้ มันมักจะมาปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
3. ผีมีห่วง ( Purposeful Ghosts )
มักจะเป็นผีชนิดที่มี " ความในใจ " อยากจะบอกให้เพื่อน หรือญาติรับรู้ เรียกได้ว่า เป็นผีประเภท
นอนตายตาไม่หลับ ก็ว่าได้ ผีแบบนี้ มักจะออกมาปรากฏตัวแบบเป็นใบ้ ไม่พูดไม่จา ชี้โน่นชี้นี่ลูกเดียว หรือบางที
อาจจะมาชี้ขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ให้ทายาทได้รับรู้ ( ผีอย่างงี้ น่าจะมาหาเราบ้างเนอะ )
4. ผีหลอก ( Poltergeists )
เป็นผีที่เล่น ที่ชอบออกมาหลอกมาหลอนคนเป็น ๆ ให้ตกใจเล่น บางทีก็เรียกได้ว่าเป็น ผีโรคจิต
เพราะชอบขว้างปา ข้าวของให้ตกใจเล่น ผีประเภทนี้ นักวิเคราะห์ผีบางราย สันนิษฐานว่า อาจไม่ใช่ผี แต่ว่าเป็น
ปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่ง ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะจากการสังเกตแล้ว พบว่า ในเหตุการณ์ ผีอาละวาด
แบบนี้ มักจะมีวันรุ่น อายุราว 12-16 ปีอยู่ในที่เกิดเหตุเสมอ จึงอาจเป็นไปได้ที่ จิตของวัยรุ่น ซึ่งมีอารมณ์รุนแรง
นั้น จะสร้างพลังงานพิเศษขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกยาก ๆ ว่า Psychokinesis ( PK ) ซึ่งสามารถเคลื่อนที่
วัตถุได้
ผีโรงแรม !!
เมื่อประมาณต้นปี 2541 ผมเคยเจอประสบการณ์ขนหัวลุกมาเล่าให้ฟัง มันเป็นเรื่องที่เคยมีคนเจอ
มาแล้วมากมาย แต่ต่างเวลาและสถานที่ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งกลางใน เมืองนครปฐม
อันที่จริงเรื่องนี้คงไม่เกิดถ้าไม่ใช่เพราะความใคร่ของหนุ่มสาว
ปกติผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องของข่าวสาร จึงได้รู้ข่าวเรื่องการตายที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้จาก
หนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นการตายเกิดจากหัวใจวายขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นการ
ฆาตรกรรม คือฝ่ายหญิงถูกบีบคอตายและหมกศพไว้ใต้เตียง
วันนั้นผมนัดกับสาวไปเที่ยวที่สวนสามพรานต่อที่ฟาร์มจรเข้และสุดท้ายจบลงที่โรงแรม ในตอนแรก
ผมรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจ เพราะรู้ว่าที่โรงแรมนี้ได้มีคนตายมาก แต่คิดว่าคงจะไม่ดวงดีขนาดนั้นเพราะมีตั้งหลาย
ห้องด้วยกัน
ผมตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเห็นห้องที่สองว่าง จึงตกลงที่จะเปิดห้องนั้น หลังจากที่เปิดห้อง
แล้วก็ให้ ฝ่ายหญิงไปอาบน้ำ ขณะที่ผมดูหนังเห็นเธอเปิดประตูแย้มหน้าออกมาดูและปิด
ไปอีก พอเธออาบเสร็จก็ออกมาถามว่า "เมื่อกี้นี้เคาะประตูหรือเปล่า ..? "
ผมตอบว่า "เปล่า ไม่ได้เคาะ" เธอบอกให้ปิดทีวี ห้องทั้งห้องจึงอยู่ในความมืด เพราะผม
ไม่ได้เปิดไฟตั้งแต่ทีแรก ในขณะที่เรามีอะไรกันนั้น ผมมีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครมาบีบคอ
อยู่แผ่ว ๆ ผมหันไปก็ไม่เห็นใคร ในความรู้สึกเหมือนมีผู้หญิงยืนอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แต่เป็นคน ๆ
เดียวกัน แล้วผมก็พบกับความว่างเปล่าเมื่อหันไปดูอีกครั้ง
พอเสร็จภารกิจผมบอกให้เธออาบน้ำแล้วผมก็เข้าไปอาบต่อ อาบได้สักพักเธอก็ร้องว่า "เปิด เปิด
เปิด!!!!! " พร้อมทั้งเคาะประตูเสียงดัง ผมตกใจรีบออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเปิดประตู
เธอบอกว่าทีวีดับแต่เมื่อผมมองออกไป ก็พบว่ามันยังเปิดอยู่ เพื่อให้เธอสบายใจผมจึงเดินไปเปิดไฟเอาไว้
แล้วเหตุการณ์อย่างนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมเห็นโทรทัศน์ดับจริง ๆ แต่ไฟยังเปิดอยู่
เธอกลัวมากจึงขอเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วย ผมก็ให้อยู่โดยในใจก็คิดว่าเธอคงจะใช้มายา ขณะที่ผมอาบน้ำ
ผมเห็น มือเธอสั่นทั้งสองข้างและประคองประสานอยู่ที่หน้าอกแน่น ตามองผมไม่กะพริบ ก่อนออกจากห้องน้ำ
สายตาผมเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ ในกระจก แต่พอมองไปก็คิดว่ากระจกบานนี้น่ากลัวมาก เรากลับไปที่เตียงปิดไฟ
และเปิดทีวีอีกครั้ง แฟนผมยังมีอาการหวาด ๆ อยู่ผมจึงพูดหยอกล้อให้เธอคลายความกังวลลงบ้าง แล้วเรา
ก็เริ่มเกมกันต่อ
แล้วความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีก แต่คราวนี้มีเสียงเหมือนมีคนเปิดประตูห้องน้ำ แต่พอหันไป
ก็ไม่มีใครอยู่ เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ตอนนั้นใจคอของผมไม่ค่อยดีพอหันไปหาเธอก็เหมือน
ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร ต่อมาก็มีเสียงมาจากลูกบิดประตู คิก คิก อี้ด !!! คราวนี้ได้ยินทั้ง 2 คน
ผมเดินออกไปดูเพราะคิดว่าบ๋อยมาเรียกแต่พอเปิดก็ไม่พบใคร และผมก็คิดได้ว่าผมลงกลอนไว้
เรียบร้อยแล้ว จึงหันไปถามแฟนว่า "ได้ยินเสียงคนเปิดประตูไหม ?" เธอก็บอกว่าได้ยิน
สิ้นเสียงเธอโทรทัศน์ก็ดันฉายหนังขึ้นอีก ดังมากจนผมสะดุ้งโหยง ส่วนเธอปล่อยกรี๊ดลั่นห้อง
ปากก็ตะโกนว่า "... ผี.!!!!.. " ผมรีบเอามืออุดปากเธอและรีบบอกเธอและรีบบอกให้ใส่เสื้อผ้า
โอ๊ย....ผมกับเธอแทบหมดลมหายใจ มี เสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากทุกมุมห้อง ทำให้หัวใจผม
แทบวายตายไปเลย เราสองคนคว้ากางเกงเสื้อผ้าผิด ๆ ถูก ๆ ไปหมด พอออกจากห้องได้ผมถอนหายใจ
พร้อมกับเอามือจับหน้าอกโล่งเหมือนได้พ้นจากขุมนรกมาแล้วแต่แล้วก็ต้องใจหายแวบเพราะผมลืมสร้อยพระ
ไว้ที่โคมไฟหัวเตียง ผมรีบกลับรถเมื่อไปถึงพอดีกับที่บ๋อยกำลังจะเข้าไปทำความสะอาด ผมจึงรีบเดินเข้าไป
หยิบสร้อยและพูดกับบ๋อยว่า " น้อง ๆ พี่ว่าห้องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ นะ " บ๋อยได้ยินก็ทำท่างง ๆ
หลังจากนั้นประมาณปลายปี 2541 ผมมีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ฟัง พอเล่าจบ
เพื่อนรุ่นน้องก็เล่าให้ฟังว่าเธอกับแฟนไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2540 แต่ก่อนที่จะมี
อะไรกัน เธอได้กลิ่นอะไรเหม็นเน่า เธอกับแฟนพยายามหาแต่หาไม่พบ เธอจึงเรียกบ๋อยมาดู
ก็พยายามหากัน และก็รื้อไม้กระดานเตียงขึ้นเท่านั้นแหละครับ
ทุกคนตะลึง..!!!! อ้วกแตกอ้วกแตนกันไปตาม ๆ กัน
สิ่งที่เห็นนั้นเป็นศพผู้หญิงตาถลนหลุดออกมาห้อยใกล้ ๆ กับแก้ม !!! หน้าตาเนื้อตัวอืดบวมจน
แทบจะระเบิดออกมาเป็นปริ ๆ หนอนใต่กันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เล่นเอาหมดอารมณ์
เธอบอกว่าต้องไปเป็นพยานเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังอีก แถมยังได้ลงชื่อในหนังสือพิมพ์อีก ผมถาม
เธอว่าที่ไหน เธอบอกผม ใจหายวาบไปเลย เพราะห้องที่ผมกับเพื่อนสาวไปนอนกันนั้นเป็นห้องเดียวกับห้องที่เธอ
พบศพ..!!!!!!
มาแล้วมากมาย แต่ต่างเวลาและสถานที่ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งกลางใน เมืองนครปฐม
อันที่จริงเรื่องนี้คงไม่เกิดถ้าไม่ใช่เพราะความใคร่ของหนุ่มสาว
ปกติผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องของข่าวสาร จึงได้รู้ข่าวเรื่องการตายที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้จาก
หนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นการตายเกิดจากหัวใจวายขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นการ
ฆาตรกรรม คือฝ่ายหญิงถูกบีบคอตายและหมกศพไว้ใต้เตียง
วันนั้นผมนัดกับสาวไปเที่ยวที่สวนสามพรานต่อที่ฟาร์มจรเข้และสุดท้ายจบลงที่โรงแรม ในตอนแรก
ผมรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจ เพราะรู้ว่าที่โรงแรมนี้ได้มีคนตายมาก แต่คิดว่าคงจะไม่ดวงดีขนาดนั้นเพราะมีตั้งหลาย
ห้องด้วยกัน
ผมตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเห็นห้องที่สองว่าง จึงตกลงที่จะเปิดห้องนั้น หลังจากที่เปิดห้อง
แล้วก็ให้ ฝ่ายหญิงไปอาบน้ำ ขณะที่ผมดูหนังเห็นเธอเปิดประตูแย้มหน้าออกมาดูและปิด
ไปอีก พอเธออาบเสร็จก็ออกมาถามว่า "เมื่อกี้นี้เคาะประตูหรือเปล่า ..? "
ผมตอบว่า "เปล่า ไม่ได้เคาะ" เธอบอกให้ปิดทีวี ห้องทั้งห้องจึงอยู่ในความมืด เพราะผม
ไม่ได้เปิดไฟตั้งแต่ทีแรก ในขณะที่เรามีอะไรกันนั้น ผมมีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครมาบีบคอ
อยู่แผ่ว ๆ ผมหันไปก็ไม่เห็นใคร ในความรู้สึกเหมือนมีผู้หญิงยืนอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แต่เป็นคน ๆ
เดียวกัน แล้วผมก็พบกับความว่างเปล่าเมื่อหันไปดูอีกครั้ง
พอเสร็จภารกิจผมบอกให้เธออาบน้ำแล้วผมก็เข้าไปอาบต่อ อาบได้สักพักเธอก็ร้องว่า "เปิด เปิด
เปิด!!!!! " พร้อมทั้งเคาะประตูเสียงดัง ผมตกใจรีบออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเปิดประตู
เธอบอกว่าทีวีดับแต่เมื่อผมมองออกไป ก็พบว่ามันยังเปิดอยู่ เพื่อให้เธอสบายใจผมจึงเดินไปเปิดไฟเอาไว้
แล้วเหตุการณ์อย่างนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมเห็นโทรทัศน์ดับจริง ๆ แต่ไฟยังเปิดอยู่
เธอกลัวมากจึงขอเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วย ผมก็ให้อยู่โดยในใจก็คิดว่าเธอคงจะใช้มายา ขณะที่ผมอาบน้ำ
ผมเห็น มือเธอสั่นทั้งสองข้างและประคองประสานอยู่ที่หน้าอกแน่น ตามองผมไม่กะพริบ ก่อนออกจากห้องน้ำ
สายตาผมเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ ในกระจก แต่พอมองไปก็คิดว่ากระจกบานนี้น่ากลัวมาก เรากลับไปที่เตียงปิดไฟ
และเปิดทีวีอีกครั้ง แฟนผมยังมีอาการหวาด ๆ อยู่ผมจึงพูดหยอกล้อให้เธอคลายความกังวลลงบ้าง แล้วเรา
ก็เริ่มเกมกันต่อ
แล้วความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีก แต่คราวนี้มีเสียงเหมือนมีคนเปิดประตูห้องน้ำ แต่พอหันไป
ก็ไม่มีใครอยู่ เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ตอนนั้นใจคอของผมไม่ค่อยดีพอหันไปหาเธอก็เหมือน
ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร ต่อมาก็มีเสียงมาจากลูกบิดประตู คิก คิก อี้ด !!! คราวนี้ได้ยินทั้ง 2 คน
ผมเดินออกไปดูเพราะคิดว่าบ๋อยมาเรียกแต่พอเปิดก็ไม่พบใคร และผมก็คิดได้ว่าผมลงกลอนไว้
เรียบร้อยแล้ว จึงหันไปถามแฟนว่า "ได้ยินเสียงคนเปิดประตูไหม ?" เธอก็บอกว่าได้ยิน
สิ้นเสียงเธอโทรทัศน์ก็ดันฉายหนังขึ้นอีก ดังมากจนผมสะดุ้งโหยง ส่วนเธอปล่อยกรี๊ดลั่นห้อง
ปากก็ตะโกนว่า "... ผี.!!!!.. " ผมรีบเอามืออุดปากเธอและรีบบอกเธอและรีบบอกให้ใส่เสื้อผ้า
โอ๊ย....ผมกับเธอแทบหมดลมหายใจ มี เสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากทุกมุมห้อง ทำให้หัวใจผม
แทบวายตายไปเลย เราสองคนคว้ากางเกงเสื้อผ้าผิด ๆ ถูก ๆ ไปหมด พอออกจากห้องได้ผมถอนหายใจ
พร้อมกับเอามือจับหน้าอกโล่งเหมือนได้พ้นจากขุมนรกมาแล้วแต่แล้วก็ต้องใจหายแวบเพราะผมลืมสร้อยพระ
ไว้ที่โคมไฟหัวเตียง ผมรีบกลับรถเมื่อไปถึงพอดีกับที่บ๋อยกำลังจะเข้าไปทำความสะอาด ผมจึงรีบเดินเข้าไป
หยิบสร้อยและพูดกับบ๋อยว่า " น้อง ๆ พี่ว่าห้องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ นะ " บ๋อยได้ยินก็ทำท่างง ๆ
หลังจากนั้นประมาณปลายปี 2541 ผมมีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ฟัง พอเล่าจบ
เพื่อนรุ่นน้องก็เล่าให้ฟังว่าเธอกับแฟนไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2540 แต่ก่อนที่จะมี
อะไรกัน เธอได้กลิ่นอะไรเหม็นเน่า เธอกับแฟนพยายามหาแต่หาไม่พบ เธอจึงเรียกบ๋อยมาดู
ก็พยายามหากัน และก็รื้อไม้กระดานเตียงขึ้นเท่านั้นแหละครับ
ทุกคนตะลึง..!!!! อ้วกแตกอ้วกแตนกันไปตาม ๆ กัน
สิ่งที่เห็นนั้นเป็นศพผู้หญิงตาถลนหลุดออกมาห้อยใกล้ ๆ กับแก้ม !!! หน้าตาเนื้อตัวอืดบวมจน
แทบจะระเบิดออกมาเป็นปริ ๆ หนอนใต่กันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เล่นเอาหมดอารมณ์
เธอบอกว่าต้องไปเป็นพยานเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังอีก แถมยังได้ลงชื่อในหนังสือพิมพ์อีก ผมถาม
เธอว่าที่ไหน เธอบอกผม ใจหายวาบไปเลย เพราะห้องที่ผมกับเพื่อนสาวไปนอนกันนั้นเป็นห้องเดียวกับห้องที่เธอ
พบศพ..!!!!!!
น้ำแช่ศพ !!
เจ้าของหอพักทำใจขาดทุน หลังพบศพในถังน้ำ ชาวหอสยอง อาบน้ำ-ใช้น้ำ "แช่ศพ"
หนุ่มโรงงานขยะแขยงจนต้องซื้อยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาดร่างกาย
แม้ เหตุการณ์จะผ่านไป 3 วันแล้ว ทว่าบรรยากาศในหอพักพัชรินทร์ เลขที่ 82/286 ซอยไทยธานี 31 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบถึงเรื่องราวสยองขวัญเมื่อวันวาน
"ราตรี หมั่นดี" สาวคาราโอเกะ วัย 26 ปี ย่านวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกฆาตกรรมแล้วนำศพไปทิ้งไว้ในถังเก็บน้ำบนดาดฟ้า จะนานเท่าไรไม่ทราบได้ แต่ร่างของเธอถูกค้นพบเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากนั้นอีก 3 วัน ตำรวจก็สามารถจับกุม "อริยธัช โกมลเกษรักษ์" วัย 25 ปี ซึ่งสารภาพว่า สาเหตุมาจากบันดาลโทสะ
หอพักรวมชาย-หญิง 4 ชั้น 31 ห้อง ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มาบัดนี้เงียบเหงาวังเวง เพียงชั่วข้ามคืนข่าวพบศพหญิงสาวถูกฆาตกรรมแล้วหมกศพไว้ในถังเก็บน้ำขนาด 2,000 ลิตรบนดาดฟ้า นานกว่า 3 วันจึงมีคนระแคะระคายและล่วงรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นเน่าอย่าง รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้น 3-4 ซึ่งอยู่ติดใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด ถึงวันนี้แทบทุกห้องว่างร้างผู้คน แม้ว่า "สมพร สัตย์ซื่อ" เจ้าของหอพัก วัย 49 ปี จะเปลี่ยนถังเก็บน้ำใบใหม่และเปลี่ยนระบบท่อน้ำใหม่ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยไป หมาดๆ แล้วก็ตาม
ขณะเดียวกันก็เปิดไฟฟ้าตลอดทั้งหอพัก โดยเฉพาะชั้น 3-4 แม้จะไม่มีคนเช่าก็เปิดไฟให้แสงสว่างตลอดทั้งคืน เพื่อสร้างความสบายใจและขวัญกำลังใจแก่คนเช่าและตัวเอง จากนั้นจะนิมนต์พระมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป
"ตอนนี้ยอมขาดทุน ยอมเสียค่าไฟ เปิดตลอดทั้งชั้น 3-4 แม้จะไม่มีคนเช่า ฉันเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เข้าใจความรู้สึกของคนเช่าดี"
ด้วย ค่าเช่าที่ค่อนข้างถูก ตกเดือนละ 1,600 บาท ห้องขนาดไม่เล็กแคบจนเกินไป ทำให้ผู้เช่าหลายคนที่ย้ายออกไปนับตั้งแต่เกิดเรื่องลังเลที่จะกลับเข้ามา อยู่อีกครั้ง บางคนจ่ายเงินค่าจองเอาไว้ล่วงหน้ารอเวลาที่เจ้าของหอจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ระบบท่อน้ำในหอก่อน
ทว่าก็มีบางคนที่ทำใจยังไม่ได้กับเรื่องราวขนพอง สยองเกล้าที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่รู้ว่าใช้น้ำ-อาบน้ำจากถังเก็บน้ำที่มีศพคนตายแช่ อยู่จนเน่าเหม็น !?!
เอก หนุ่มโรงงานวัย 27 ปี ยืนกระต่ายขาเดียวว่า อย่างไรเสียก็จะไม่กลับไปอยู่ที่หอพักเดิมอีก แม้ห้องเช่าแห่งใหม่จะเล็กแคบไม่เหมือนที่เก่า แต่ก็ยังพออยู่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"ผมเป็นผู้ชายมีความ อดทนนะ แต่บางสิ่งมันก็เกินความคาดหมาย เราอาบน้ำมารู้ทีหลังว่ามีศพคนตายอยู่ในถังเก็บน้ำก็รู้สึกขยะแขยง เพราะน้ำมันแช่ศพอยู่ หลังจากย้ายไปอยู่ที่ใหม่ผมไปซื้อยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาดร่างกายเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าศพแช่อยู่ในน้ำมันจะมีเชื้อโรคอะไรหรือเปล่า รู้สึกรับไม่ได้"
หนุ่มโรงงานวัย 27 ปี รู้ว่ามีผู้เช่าหลายคนที่จะกลับไปอยู่ที่เดิม แต่เขาเชื่อว่าคงไม่ใช่ห้องเลขที่ 31 ที่เกิดเหตุ !?!
แม่ ค้าขายของใกล้กับหอพักพัชรินทร์เป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกของผู้เช่าได้ อย่างดี เล่าว่า หลังเกิดเหตุผู้เช่าหลายคนมาซื้อของที่ร้านและบอกเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าน้ำที่ใช้อาบ ใช้แปรงฟัน นั้นมีศพคนตายแช่อยู่ กระทั่งน้ำเริ่มมีกลิ่นเหม็นและเป็นฟอง ก่อนจะจบลงด้วยความจริงที่เปิดเผยออกมา พวกเขาและเธอเลยต้องย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่
แต่สำหรับ นิด สาวโรงงานวัย 28 ปี กลับมีมุมมองแตกต่างออกไป เธอกับเพื่อนอีกบางคนยังคงปักหลักพักอาศัยอยู่ที่หอพักพัชรินทร์ แม้จะรู้สึกขยะแขยงบ้างเมื่อรู้ว่าน้ำที่เคยอาบเคยใช้มีศพคนตายแช่อยู่นาน ถึง 3 วัน โดยเธอให้เหตุผลแก่ตัวเองและ "คม ชัด ลึก" ว่าคนตายมาจากที่อื่น ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ จึงไม่มีความรู้สึกด้านความสัมพันธ์ ประกอบกับเศรษฐกิจยุคนี้ยากจะหาหอพักในราคาขนาดย่อมเยาเช่นนี้ได้ "ฉันเช่าอยู่ชั้น 1 ส่วนเพื่อนพักอยู่ชั้น 2 แรกๆ ก็หวั่นใจอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าจากนี้ไปคงไม่มีปัญหาอะไร สักพักคงมีคนเข้ามาเช่าเหมือนเดิม" ระหว่างการเปลี่ยนถังเก็บน้ำใบใหม่และเปลี่ยนระบบท่อน้ำใหม่ทั้งหมด สมพรเจ้าของหอได้นำน้ำดื่มถังใหญ่มาวางไว้ให้ผู้เช่าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด นำไปใช้อุปโภคบริโภคไม่จำกัดจำนวน โดยตั้งวางไว้ที่หน้าหอพัก ใครใคร่หยิบไปดื่มกินหรืออาบชำระล้างร่างกาย ล้างถ้วยล้างจานเท่าไรก็ยกไปได้ตามแต่ใจต้องการ และนี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สมพรบอกว่า ถึงอย่างไรช่วงนี้ก็จะยอมขาดทุน
แม้ เหตุการณ์จะผ่านไป 3 วันแล้ว ทว่าบรรยากาศในหอพักพัชรินทร์ เลขที่ 82/286 ซอยไทยธานี 31 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบถึงเรื่องราวสยองขวัญเมื่อวันวาน
"ราตรี หมั่นดี" สาวคาราโอเกะ วัย 26 ปี ย่านวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกฆาตกรรมแล้วนำศพไปทิ้งไว้ในถังเก็บน้ำบนดาดฟ้า จะนานเท่าไรไม่ทราบได้ แต่ร่างของเธอถูกค้นพบเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หลังจากนั้นอีก 3 วัน ตำรวจก็สามารถจับกุม "อริยธัช โกมลเกษรักษ์" วัย 25 ปี ซึ่งสารภาพว่า สาเหตุมาจากบันดาลโทสะ
หอพักรวมชาย-หญิง 4 ชั้น 31 ห้อง ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มาบัดนี้เงียบเหงาวังเวง เพียงชั่วข้ามคืนข่าวพบศพหญิงสาวถูกฆาตกรรมแล้วหมกศพไว้ในถังเก็บน้ำขนาด 2,000 ลิตรบนดาดฟ้า นานกว่า 3 วันจึงมีคนระแคะระคายและล่วงรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นเน่าอย่าง รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้น 3-4 ซึ่งอยู่ติดใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด ถึงวันนี้แทบทุกห้องว่างร้างผู้คน แม้ว่า "สมพร สัตย์ซื่อ" เจ้าของหอพัก วัย 49 ปี จะเปลี่ยนถังเก็บน้ำใบใหม่และเปลี่ยนระบบท่อน้ำใหม่ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยไป หมาดๆ แล้วก็ตาม
ขณะเดียวกันก็เปิดไฟฟ้าตลอดทั้งหอพัก โดยเฉพาะชั้น 3-4 แม้จะไม่มีคนเช่าก็เปิดไฟให้แสงสว่างตลอดทั้งคืน เพื่อสร้างความสบายใจและขวัญกำลังใจแก่คนเช่าและตัวเอง จากนั้นจะนิมนต์พระมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป
"ตอนนี้ยอมขาดทุน ยอมเสียค่าไฟ เปิดตลอดทั้งชั้น 3-4 แม้จะไม่มีคนเช่า ฉันเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เข้าใจความรู้สึกของคนเช่าดี"
ด้วย ค่าเช่าที่ค่อนข้างถูก ตกเดือนละ 1,600 บาท ห้องขนาดไม่เล็กแคบจนเกินไป ทำให้ผู้เช่าหลายคนที่ย้ายออกไปนับตั้งแต่เกิดเรื่องลังเลที่จะกลับเข้ามา อยู่อีกครั้ง บางคนจ่ายเงินค่าจองเอาไว้ล่วงหน้ารอเวลาที่เจ้าของหอจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ระบบท่อน้ำในหอก่อน
ทว่าก็มีบางคนที่ทำใจยังไม่ได้กับเรื่องราวขนพอง สยองเกล้าที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่รู้ว่าใช้น้ำ-อาบน้ำจากถังเก็บน้ำที่มีศพคนตายแช่ อยู่จนเน่าเหม็น !?!
เอก หนุ่มโรงงานวัย 27 ปี ยืนกระต่ายขาเดียวว่า อย่างไรเสียก็จะไม่กลับไปอยู่ที่หอพักเดิมอีก แม้ห้องเช่าแห่งใหม่จะเล็กแคบไม่เหมือนที่เก่า แต่ก็ยังพออยู่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"ผมเป็นผู้ชายมีความ อดทนนะ แต่บางสิ่งมันก็เกินความคาดหมาย เราอาบน้ำมารู้ทีหลังว่ามีศพคนตายอยู่ในถังเก็บน้ำก็รู้สึกขยะแขยง เพราะน้ำมันแช่ศพอยู่ หลังจากย้ายไปอยู่ที่ใหม่ผมไปซื้อยาฆ่าเชื้อมาทำความสะอาดร่างกายเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าศพแช่อยู่ในน้ำมันจะมีเชื้อโรคอะไรหรือเปล่า รู้สึกรับไม่ได้"
หนุ่มโรงงานวัย 27 ปี รู้ว่ามีผู้เช่าหลายคนที่จะกลับไปอยู่ที่เดิม แต่เขาเชื่อว่าคงไม่ใช่ห้องเลขที่ 31 ที่เกิดเหตุ !?!
แม่ ค้าขายของใกล้กับหอพักพัชรินทร์เป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกของผู้เช่าได้ อย่างดี เล่าว่า หลังเกิดเหตุผู้เช่าหลายคนมาซื้อของที่ร้านและบอกเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าน้ำที่ใช้อาบ ใช้แปรงฟัน นั้นมีศพคนตายแช่อยู่ กระทั่งน้ำเริ่มมีกลิ่นเหม็นและเป็นฟอง ก่อนจะจบลงด้วยความจริงที่เปิดเผยออกมา พวกเขาและเธอเลยต้องย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่
แต่สำหรับ นิด สาวโรงงานวัย 28 ปี กลับมีมุมมองแตกต่างออกไป เธอกับเพื่อนอีกบางคนยังคงปักหลักพักอาศัยอยู่ที่หอพักพัชรินทร์ แม้จะรู้สึกขยะแขยงบ้างเมื่อรู้ว่าน้ำที่เคยอาบเคยใช้มีศพคนตายแช่อยู่นาน ถึง 3 วัน โดยเธอให้เหตุผลแก่ตัวเองและ "คม ชัด ลึก" ว่าคนตายมาจากที่อื่น ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ จึงไม่มีความรู้สึกด้านความสัมพันธ์ ประกอบกับเศรษฐกิจยุคนี้ยากจะหาหอพักในราคาขนาดย่อมเยาเช่นนี้ได้ "ฉันเช่าอยู่ชั้น 1 ส่วนเพื่อนพักอยู่ชั้น 2 แรกๆ ก็หวั่นใจอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าจากนี้ไปคงไม่มีปัญหาอะไร สักพักคงมีคนเข้ามาเช่าเหมือนเดิม" ระหว่างการเปลี่ยนถังเก็บน้ำใบใหม่และเปลี่ยนระบบท่อน้ำใหม่ทั้งหมด สมพรเจ้าของหอได้นำน้ำดื่มถังใหญ่มาวางไว้ให้ผู้เช่าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด นำไปใช้อุปโภคบริโภคไม่จำกัดจำนวน โดยตั้งวางไว้ที่หน้าหอพัก ใครใคร่หยิบไปดื่มกินหรืออาบชำระล้างร่างกาย ล้างถ้วยล้างจานเท่าไรก็ยกไปได้ตามแต่ใจต้องการ และนี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สมพรบอกว่า ถึงอย่างไรช่วงนี้ก็จะยอมขาดทุน
8วิธี เห็นผี
++++8 วิ ธี เ ห็ น ผี สุ ด เ ฮี้ ยน++++
เค้าบอกว่า 50 % เห็นมาแล้ว
แต่ก้อไม่รู้จิงเท็จแค่ไหน
ก้อใช้วิจารณญาณ ดูกันเอาเองแล้วกัน
ข้าน้อยเห็นบางวิธีก้อเป็นวิธีที่แปลกจากที่เคยอ่านๆมานะ
ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเห็นได้ด้วยหรือ
แต่ก็น่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ลองอ่านดูแล้วกัน
.......ข้อปฎิบัติ........
• ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และต้องไม่เลย
เที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่
•ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8
•วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือวันพุธและ วันศุกร์
และวันอาทิตย์
•ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียว
•ทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา
*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน)
1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม
จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ)
4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า
“พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย)
***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า
“พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้
เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น
***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง ::
*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน)
***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”***
1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง)
โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย
*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)
*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน)
- วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น
- วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที
- นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย
1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7)
แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี
*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน)
- ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น
- ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด
*วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน)
1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง)
2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี
แต่ก้อไม่รู้จิงเท็จแค่ไหน
ก้อใช้วิจารณญาณ ดูกันเอาเองแล้วกัน
ข้าน้อยเห็นบางวิธีก้อเป็นวิธีที่แปลกจากที่เคยอ่านๆมานะ
ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเห็นได้ด้วยหรือ
แต่ก็น่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ลองอ่านดูแล้วกัน
.......ข้อปฎิบัติ........
• ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และต้องไม่เลย
เที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่
•ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8
•วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือวันพุธและ วันศุกร์
และวันอาทิตย์
•ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียว
•ทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา
*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน)
1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม
จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ)
4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า
“พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย)
***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า
“พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้
เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น
***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง ::
*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน)
***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”***
1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง)
โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย
*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)
*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน)
- วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น
- วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที
- นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย
1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7)
แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี
*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน)
- ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น
- ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด
*วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน)
1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง)
2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี
ผีในหอพัก ??
ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควร
จะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดิน
ผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที
คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมาก
จนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมา
เข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่
ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยัง
ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้
คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟ
แก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับ
ที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง
มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้น
ยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืน
ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้
เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง
จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการ
แขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้น
จาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคย
อยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน
คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเอง
ขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใคร
เขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ
ทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา ...
จะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดิน
ผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที
คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมาก
จนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมา
เข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่
ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยัง
ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้
คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟ
แก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับ
ที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง
มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้น
ยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืน
ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้
เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง
จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการ
แขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้น
จาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคย
อยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน
คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเอง
ขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใคร
เขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ
ทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา ...
เพื่อนใหม่ !!
"ทัศนีย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวัดป่าหนองหิน มหาสารคามดิฉัน
ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ เท่าไหร่นัก สามีก็เช่นกัน
อาจจะเป็นเพราะเรามีอาชีพครูบาอาจารย์ก็ได้ค่ะ สอนวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์
ซึ่งล้วนแต่เป็นวิชาที่ว่าด้วยเหตุผลทั้งนั้น
ถ้าจะมาหลงเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็กระไรอยู่
จริงหรือไม่คะ?
ตาต้น-ลูกชายวัย 5 ขวบของเราที่เป็นลูกโทน ดิฉันก็พยายามปลูกฝังให้เชื่อสิ่งที่มีเหตุมีผล มองเห็นและจับต้องได้ ข้อสำคัญก็คืออย่าเชื่อเรื่องผี หรือกลัวผีเหมือนเด็กอื่นๆ หลายคนอีกต่างหาก
จนกระทั่ง เมื่อตอนต้นปีนี้เอง ดิฉันได้ประสบกับเหตุการณ์น่าแปลกประหลาดนึกหาคำอธิบายที่ชัดแจ้งไม่ได้ ข้อสำคัญก็คือทำให้ขนลุกทุกครั้งที่นึกถึงเลยค่ะ!เรา ไปมหาสารคามเพื่อเยี่ยมญาติทางสามีที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลมีอาการหลอดเลือดตีบ จะต้องรักษาด้วยการทำบอลลูน...เขามีกำลังใจดีค่ะ บอกว่าไม่ต้องบายพาสก็นับว่าบุญแล้ว
วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ญาติอีกคนก็ชวนไปกราบพระที่วัดป่าหนองหิน ห่างจากตัวจังหวัดราว 15-16 กิโลเมตรเห็นจะได้
ญาติ เล่าว่าเจ้าอาวาสชื่อพระครูชัชวาลย์ อดีตเคยเป็นอาจารย์ราชภัฏ ได้ลาออกมาบวชเรียน แสวงหาความวิเวกแบบพระป่าได้ 10 กว่าปีแล้ว ในที่สุดก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองหิน เป็นพระรูปเดียวที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น
แม้ว่าในอดีตเคยเป็นป่าช้า ที่ปัจจุบันยังมีศพฝังอยู่อีกมากมายก็ตาม!
ชาว บ้านร้านตลาดนับถือท่านมาก เพราะพระครูรูปนี้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด เช้าขึ้นก็ครองผ้าออกบิณฑบาต แม้ว่าหมู่บ้านจะอยู่ห่างไกลก็ไม่ย่อท้อ เมื่อกลับวัดจะฉันสำรวมแบบพระวัดป่า และฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียวเท่านั้น
ที่ชาวบ้านนับถือก็เพราะ ท่านไม่ใช่พระประเภท "พ่นน้ำหมาก-ขากน้ำมนต์" หรือใบ้หวย ให้เลขเด็ดเป็นการมอมเมาประชาชนให้มาเลื่อมใส แต่ท่านเทศนาสั่งสอนด้วยพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น...อีก ทั้งทำการพัฒนาวัดให้สะอาด สว่างและสงบเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ป่าช้าเก่าที่ฝังศพก็อยู่ตามโคนต้นไม้ก่อนจะถึงวัดนั่นเอง!
เป็น อันว่าญาติผู้นั้นขับรถปิกอัพนำเราไปที่วัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง...จนกระทั่งเข้าเขตวัดที่แวดล้อมด้วยป่าโปร่ง ด้านหน้ามีศาลาโล่งกว้างตลอดสามด้าน ยกเว้นแต่ด้านซ้ายมือที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เบื้องหลังท่านสมภารวัย 60 เศษ หน้าตาอิ่มเอิบผ่องใส มองเห็นแล้วใจคอพลอยสงบเยือกเย็นไปด้วย
ดิฉัน กับสามีกราบไหว้ท่านสมภารอย่างสนิทใจ บอกให้ตาต้นกราบแกก็ทำตามอย่างว่าง่าย...เราถามถึงการพัฒนาวัดท่านก็บอกว่า เพื่อต้อนรับญาติโยมที่จะมาทำบุญและปฏิบัติธรรม บางทีก็มีมาบวชชีกัน 2-3 คน มีกุฏิแยกต่างหาก ส่วนท่านจำวัดคนเดียว
ระยะหลังๆ ท่านก็อยู่เพียงรูปเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีปัญหาอะไร
ลูก ชายเราลุกออกไปกับญาติเพื่อเข้าห้องน้ำ สามีถามท่านถึงตอนกลางค่ำกลางคืน พระครูชัชวาลย์ตอบว่าสงบเงียบดี ไม่มีอะไรน่ากลัว เมื่อถามถึงป่าช้าเก่าท่านก็บอกว่ามีญาตินำขึ้นมาเผาในสมัยก่อน แต่บางครั้งท่านก็ร่วมมือในการขุดศพมาเผา บำเพ็ญส่วนกุศลไปให้ผู้ตายตามประเพณี
"ยังมีอีกหลายศพ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนแก่และเด็ก กลางคืนไม่เหงาหรอกโยม มีเด็กๆ ออกมาวิ่งกันครึกครื้นแทบทุกคืน"
แม้จะไม่กลัวผี แต่ดิฉันกับสามีก็สบตากันแล้วกลืนน้ำลาย...
เวลา ผ่านไปพอสมควร เมฆหนาทึบเคลื่อนเข้าบดบังแสงแดดพอดี...เราก็ถวายปัจจัยท่านสมภารแล้วลากลับ หันไปหาญาติก็เห็นกำลังเรียกตาต้นที่วิ่งเล่น พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่หน้าศาลาเหมือนเล่นกับเพื่อนๆ จนแกผละมาหาดิฉันก็หลุดปากถามอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า...เล่นกับใครน่ะหรือว่า เล่นคนเดียว?
"เปล่าฮะแม่ ต้นเล่นกับเพื่อน..." แกชี้มือไปที่ความว่างเปล่า "นั่นไง! ไอ้จุกยืนมองอยู่นั่นไงฮะ"
ดิฉัน ขนลุกซ่า รีบชวนญาติขึ้นรถ...ขณะที่กำลังตีวงจะไปสู่ทางออก ตาต้นก็หันไปมองข้างหลังแล้วโบกมือหย็อยๆ เหมือนจะเป็นการล่ำลาเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอะเจอกัน...เพื่อนจากปรโลกน่ะซี คะ...เดี๋ยวนี้ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง! บรื๋ออออ...
ตาต้น-ลูกชายวัย 5 ขวบของเราที่เป็นลูกโทน ดิฉันก็พยายามปลูกฝังให้เชื่อสิ่งที่มีเหตุมีผล มองเห็นและจับต้องได้ ข้อสำคัญก็คืออย่าเชื่อเรื่องผี หรือกลัวผีเหมือนเด็กอื่นๆ หลายคนอีกต่างหาก
จนกระทั่ง เมื่อตอนต้นปีนี้เอง ดิฉันได้ประสบกับเหตุการณ์น่าแปลกประหลาดนึกหาคำอธิบายที่ชัดแจ้งไม่ได้ ข้อสำคัญก็คือทำให้ขนลุกทุกครั้งที่นึกถึงเลยค่ะ!เรา ไปมหาสารคามเพื่อเยี่ยมญาติทางสามีที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลมีอาการหลอดเลือดตีบ จะต้องรักษาด้วยการทำบอลลูน...เขามีกำลังใจดีค่ะ บอกว่าไม่ต้องบายพาสก็นับว่าบุญแล้ว
วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ญาติอีกคนก็ชวนไปกราบพระที่วัดป่าหนองหิน ห่างจากตัวจังหวัดราว 15-16 กิโลเมตรเห็นจะได้
ญาติ เล่าว่าเจ้าอาวาสชื่อพระครูชัชวาลย์ อดีตเคยเป็นอาจารย์ราชภัฏ ได้ลาออกมาบวชเรียน แสวงหาความวิเวกแบบพระป่าได้ 10 กว่าปีแล้ว ในที่สุดก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองหิน เป็นพระรูปเดียวที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น
แม้ว่าในอดีตเคยเป็นป่าช้า ที่ปัจจุบันยังมีศพฝังอยู่อีกมากมายก็ตาม!
ชาว บ้านร้านตลาดนับถือท่านมาก เพราะพระครูรูปนี้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด เช้าขึ้นก็ครองผ้าออกบิณฑบาต แม้ว่าหมู่บ้านจะอยู่ห่างไกลก็ไม่ย่อท้อ เมื่อกลับวัดจะฉันสำรวมแบบพระวัดป่า และฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียวเท่านั้น
ที่ชาวบ้านนับถือก็เพราะ ท่านไม่ใช่พระประเภท "พ่นน้ำหมาก-ขากน้ำมนต์" หรือใบ้หวย ให้เลขเด็ดเป็นการมอมเมาประชาชนให้มาเลื่อมใส แต่ท่านเทศนาสั่งสอนด้วยพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น...อีก ทั้งทำการพัฒนาวัดให้สะอาด สว่างและสงบเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ป่าช้าเก่าที่ฝังศพก็อยู่ตามโคนต้นไม้ก่อนจะถึงวัดนั่นเอง!
เป็น อันว่าญาติผู้นั้นขับรถปิกอัพนำเราไปที่วัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง...จนกระทั่งเข้าเขตวัดที่แวดล้อมด้วยป่าโปร่ง ด้านหน้ามีศาลาโล่งกว้างตลอดสามด้าน ยกเว้นแต่ด้านซ้ายมือที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เบื้องหลังท่านสมภารวัย 60 เศษ หน้าตาอิ่มเอิบผ่องใส มองเห็นแล้วใจคอพลอยสงบเยือกเย็นไปด้วย
ดิฉัน กับสามีกราบไหว้ท่านสมภารอย่างสนิทใจ บอกให้ตาต้นกราบแกก็ทำตามอย่างว่าง่าย...เราถามถึงการพัฒนาวัดท่านก็บอกว่า เพื่อต้อนรับญาติโยมที่จะมาทำบุญและปฏิบัติธรรม บางทีก็มีมาบวชชีกัน 2-3 คน มีกุฏิแยกต่างหาก ส่วนท่านจำวัดคนเดียว
ระยะหลังๆ ท่านก็อยู่เพียงรูปเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีปัญหาอะไร
ลูก ชายเราลุกออกไปกับญาติเพื่อเข้าห้องน้ำ สามีถามท่านถึงตอนกลางค่ำกลางคืน พระครูชัชวาลย์ตอบว่าสงบเงียบดี ไม่มีอะไรน่ากลัว เมื่อถามถึงป่าช้าเก่าท่านก็บอกว่ามีญาตินำขึ้นมาเผาในสมัยก่อน แต่บางครั้งท่านก็ร่วมมือในการขุดศพมาเผา บำเพ็ญส่วนกุศลไปให้ผู้ตายตามประเพณี
"ยังมีอีกหลายศพ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนแก่และเด็ก กลางคืนไม่เหงาหรอกโยม มีเด็กๆ ออกมาวิ่งกันครึกครื้นแทบทุกคืน"
แม้จะไม่กลัวผี แต่ดิฉันกับสามีก็สบตากันแล้วกลืนน้ำลาย...
เวลา ผ่านไปพอสมควร เมฆหนาทึบเคลื่อนเข้าบดบังแสงแดดพอดี...เราก็ถวายปัจจัยท่านสมภารแล้วลากลับ หันไปหาญาติก็เห็นกำลังเรียกตาต้นที่วิ่งเล่น พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่หน้าศาลาเหมือนเล่นกับเพื่อนๆ จนแกผละมาหาดิฉันก็หลุดปากถามอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า...เล่นกับใครน่ะหรือว่า เล่นคนเดียว?
"เปล่าฮะแม่ ต้นเล่นกับเพื่อน..." แกชี้มือไปที่ความว่างเปล่า "นั่นไง! ไอ้จุกยืนมองอยู่นั่นไงฮะ"
ดิฉัน ขนลุกซ่า รีบชวนญาติขึ้นรถ...ขณะที่กำลังตีวงจะไปสู่ทางออก ตาต้นก็หันไปมองข้างหลังแล้วโบกมือหย็อยๆ เหมือนจะเป็นการล่ำลาเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอะเจอกัน...เพื่อนจากปรโลกน่ะซี คะ...เดี๋ยวนี้ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง! บรื๋ออออ...
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กลับบ้านเรา
กลับบ้านเรา
"เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณกลับบ้านถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ
เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ
หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!
เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู
ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี
บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้า มา...
จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย
นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย
จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่
"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?
เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกัน ไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหด คราวนั้นนับพันนับหมื่นคน
ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป
ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...
ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า
ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!
เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว
หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา
คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้น ช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้
เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา
คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้ง ก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล
ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!
ซอยราชครู
ซอยราชครูในอดีต
เมื่อประมาณสิบปี เศษมาแล้ว ผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนชื่อพิชัย ในซอยอารีสัมพันธ์ 1 เข้าทางพหลโยธิน 6 (ซอยราชครู) เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงานของเราที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตอนเย็นๆ งานเลิก เรามักแวะร้านเหล้าในเวิ้งหลังป้ายรถเมล์ ใกล้ๆ กับย่านก๋วยเตี๋ยวเรือร้านขาประจำของเราขายอาหารอีสาน เน้นเรื่องรสชาติอร่อย ราคาถูก ไม่สนใจเรื่องบรรยากาศหรือความสะอาดเท่าไหร่นัก
โขงแบน โซดาสอง น้ำแข็งเหยือก ลาบ ก้อย ส้มตำปูใส่ปลาร้า บางวันก็เป็นตับหวาน ซุปหน่อไม้ เนื้อเค็ม ข้าวเหนียวขาดไม่ได้ ต้นเดือนมีการสั่งแบนที่สอง แต่ปลายเดือนแบนเดียวก็พอ อาศัยชงเหล้าหนาๆ หน่อยก็เมาเร็วได้เหมือนกัน ประหยัดเงินดี
บางเย็นเราแวะเดินห้างก่อน ดูของสวยๆ งามๆ กับมองสาวน่ารัก ไม่ว่าคนซื้อหรือคนขาย กว่าจะขึ้นสะพานลอยเดินอ้อมอนุสาวรีย์ ผ่านโรงพยาบาลราชวิถี ข้ามถนนที่จะไปทางโรงพยาบาลพระมงกุฎ เดินถึงร้านขาประจำได้ก็ราวทุ่มเศษแล้ว
เหนื่อยๆ มาแบบนี้ซดเหล้าชุ่มฉ่ำดีนักละครับ ยอมรับว่าตอนนั้นกำลังห้าว เลยไม่ค่อยได้นึกถึงสุขภาพเท่าไหร่ ขากลับมักจะเดินทอดหุ่ยจนแทบส่างเมา
คนที่เช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กันเล่าว่าซอยนี้ผีดุ หมายถึงซอยราชครู ที่เลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวาไปเข้าอารีสัมพันธ์ 1 สาเหตุเพราะเข้าซอยมาเคยมีโรงพยาบาลอยู่ด้านซ้าย แต่เลิกกิจการก่อนผมไปอยู่แถวนั้นหลายปีแล้ว
เคยมีคนไปเปิดค็อกเทลเลานจ์อยู่ตรงหัวมุม เลยโรงพยาบาลที่ว่าไม่ไกลนัก แต่ก็ไปไม่รอด มิหนำซ้ำครอบครัวแตกแยกกัน พอมีคนไปทำใหม่ก็ไร้ผล เสียงลือก็มาฟอร์มเดิมๆ น่ะแหละครับ คือบอกว่า...เจ้าที่แรง!
ผมกับเพื่อนไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ กลางวันก็เห็นปกติ แม้ว่าตอนนั้นจะดูโล่งตา ตอนกลางคืนเดินผ่าน หรือเมามากนั่งตุ๊ก-ตุ๊ก กลับก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
คืนนั้นค่อนข้างมึน ออกจากร้านราว 4 ทุ่มเพราะเขาจะปิดอยู่แล้ว ชวนกันย่ำต๊อกมาเรื่อยๆ ให้หายมึนกับเซฟค่ารถ บางครั้งก็มีสะดุดมีเซแซดๆ เหมือนกัน เอ้ๆ แอ่นๆ เข้าซอยราชครูเกือบ 5 ทุ่มได้ รถราแทบจะไม่มีแล้วแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร
พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้าง พิชัยบอกว่าเห็นไฟเปิดอยู่ชั้น 2 ผมว่าถ้าไม่ตาฝาดก็คงมีขี้ยาไปมั่วสุม...เราก้าวเท้ากันเร็วขึ้น อาการเดินเซหายเป็นปลิดทิ้ง
จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนน่าขนลุก ดังมาจากดงละเมาะโรงพยาบาลนั้น เล่นเอาเราชะงักกึก คิดว่าหูหาเรื่องไปเอง...พอดีมีเสียงเด็กแรกเกิดร้องแว้ๆ มากระทบหู พอเงียบไปพักก็แผดร้องเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าเดิม
ผมบอกเพื่อนว่าอย่าคิดอะไรมาก พลันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามดังก้อง อาจจะเป็นคนในย่านเดียวกันก็ได้...คงมีใครเดินย่ำหนักๆ รีบกลับบ้านกันละมั้ง?
เราหันไปมองแล้วรีบหันกลับ กลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อเห็นชายชุดดำร่างสูงใหญ่เดินมาใต้โคมไฟรุบหรู่ ท่าทางเร่งร้อนจนใกล้เข้ามาทุกทีอย่างน่าหวาดระแวง
ใกล้ถึงหัวมุมที่เคยเป็นค็อกเทลเลานจ์ เสียงต่างๆ ก็เงียบหายไป เราเลยถอนใจกันอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงเด็กอ่อนๆ ร้องไห้จ้า...ฟังเหมือนดังลั่นอยู่ในยามดึกที่มีแสงไฟส่องสลัวจนน่าใจหาย
พิชัยหันขวับไปมอง แล้วร้องครางเบาๆ ก่อนจะโผเข้าเกาะแขนผมแน่น
ไม่ทราบว่ามีอะไรดลใจให้ผมหันไปดูมั่ง! โลกทั้งโลกคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พยายามบอกตัวเองว่าเราเมา...ขืนเมามากกว่านี้มีหวังสติแตกแน่ๆ
ภาพที่เห็นไม่ใช่ชายร่างใหญ่ในตอนแรก แต่กลายเป็นหญิงร่างเล็กในชุดคนไข้สีขาว เดินตามมาใกล้ๆ พลางอุ้มทารกที่ร้องจ้าน่าเวทนา อาจจะเพิ่งคลอดได้ 3-4 วัน อ้าว? แล้วอุ้มลูกออกมาดึกๆ ดื่นๆ ยามนี้ทำไมกันเล่า? ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
เราสองคนจ้ำอ้าวเป็นควายหาย คล้ายจะโดนเสียงร้องกรี๊ดๆ รบกวนสุดขีด แต่แม่ลูกคู่นั้นกลับดูจะเคลื่อนใกล้เข้ามาหาเรายิ่งกว่าเดิม ราว 4-5 ก้าวเท่านั้นเอง!
"วิ่งโว้ย!" ไม่รู้ใครตะโกน พอเลี้ยวหัวมุมที่เป็นเลานจ์ร้าง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครืนมากระทบหู คราวนี้ผมกระโจนพรวดออกนำหน้า เลี้ยวผ่านทาวน์เฮ้าส์สร้างใหม่ด้านขวา ได้ยินพิชัยร้องลั่นๆ ตามมาว่า...ช่วยด้วย!
หันไปมองหอบฮักๆ ก็เห็นแม่ลูกอ่อนเข้าประชิดตัว ส่งเด็กให้ แทนที่จะบอกรับหรือปฏิเสธ เพื่อนกลับร้องจ้าเหมือนคนสติแตก ตะโกนลั่นซอยว่า "ผีหลอกโว้ย"
ขณะที่ผมยืนตะลึงเหมือนถูกสาป ก็เห็นเพื่อนพุ่งพรวดเหมือนนักวิ่ง 100 เมตรจะสปีดเข้าเส้นชัย แซงหน้าผมหวือไป เสียงนรกจกเปรตยังแผดจ้า...เขย่าขวัญจนผมห้อเหยียดตามเพื่อนไปอย่างไม่คิด ชีวิต
ไม่รู้ว่าเราเข้าไปหอบฮักๆ ในห้องพักชั้นล่างได้ยังไง หน้าซีดเป็นผีตายพอๆ กัน...เสียงเด็กเจ้ากรรมยังร้องจ้าๆ ดังเข้ามาในห้องตั้งนานกว่าจะไป
รุ่งขึ้น เราตัดสินใจย้ายที่ซุกหัวนอนไปเช่าห้องอยู่แถววัดสะพาน
พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกแท้ๆ
ไปอยู่ได้อาทิตย์กว่า ก็มีผู้ประสงค์ดีมาเล่าให้ฟังว่า วัดทัศนารุณสุนทริการาม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดสะพาน (หรือวัดตะพาน) ขึ้นชื่อลือชาว่ามีผีปอบดุร้ายที่สุดในประเทศไทย...เป็นงั้นไป!
คอมพิวเตอร์สยอง
คอมพิวเตอร์สยองขวัญ
โรงเรียนๆ หนึ่งเป็นโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ซึ่งกว่าจะตกทอดมายังรุ่นหลังก็กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่เก่าแล้ว ในโรงเรียนนี้เขาลือกันว่าเวลาตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงเหมือนคนพิมพ์ดีด ทุกคืนในคืนหนึ่งเป็นคืนที่เป็นคืนที่เด็กๆชั้น ป.4 เข้าค่ายที่โรงเรียน เขานอนกันที่ห้องคอมพิวเตอร์นั่น มีเด็กคนหนึ่งปวดฉี่ในกลางดึก จึงปลุกเพื่อนให้ไปห้องน้ำเป็นเพื่อน
ระหว่างเดินไปนั้นเธอทั้ง 2 ก็เห็นคนคนหนึ่งมีแต่เงากำลังนั่งพิมพ์ดีดอยู่ ทั้ง 2 คนตกใจมากรีบวิ่งกับมาที่เต้นท์ ก่อน ผู้หญิงคนที่วิ่งมานั้น เขาเห็นคนๆนั้นหันมาและเห็นหน้าอย่างชัดเจน หน้าของเขาเหลือแต่ริมฝีปากและตาที่แดงกล่ำ
เด็กหญิงที่กำลังปวดฉี่อยู่นั้นฉี่แตกที่นั่นทันที ครูคนหนึ่งออกมาดู เขาให้เด็กทั้ง 2 เข้ามาในเต้นท์แล้วนอนหลับห้ามไปไหนอีก จนถึงเช้า
เมื่อเช้า... ครูถามว่าเกิดอะไรขึ้นเด็กทั้ง 2 เล่าว่าเธอเห็นคนพิมพ์ดีดในห้องคอม ครูก็บอกกับนักเรียนว่า อะไรกันอย่าไปคิดเลยผีไม่มีจริงหรอก
พวกเขาต่างไม่คิดอะไรมากนักและทำกิจกรรมยามเข้าค่ายของนักเรียนต่อ จนกระทั่งเข้าค่ายเสร็จสิ้น เด็กทั้ง 2 จึงไปห้องสมุดเพื่อไปหาข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนเก่าที่เรียนโรงเรียนนี้ เขาไปเจอหนังสือที่มีรูปคล้ายกับคนที่เขาทั้ง 2 เห็นจึงเอาเรื่องนี้ไปถามผ.อ.
ผ.อ.เล่าว่าเคยมีเด็กนักเรียนตายในสภาพที่ว่าปากฉีกตาถลนจมูกบี้ ทั้ง 2 ตกใจและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ ผ.อ. ฟัง เมื่อผ.อ. ได้ยินแบบนั้นก็รีบส่งคนให้เอาคอมเครื่องนั้นไปทิ้ง
และซื้อใหม่ 10 เครื่อง เด็กทุกคนต่างดีใจที่ได้คอมเครื่องใหม่ และหลังจากที่ซื้อคอมมาแล้ว ผ.อ.และเด็ก 2คนก็เลยล้มป่วย ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
โทรศัพท์สยอง
โทรศัพท์สยอง
เช้าวันอาทิตย์กลาง เดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ! "โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ผู้หญิงหลายๆคนรู้ไหม ผมที่คุณต่อ บางทีอาจจะเป็น?
นุช…นุชจรีย์ใช่ไหม” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อใครไม่รู้
แต่อยู่ดีๆก็เข้ามาจับแขนของฉัน ซึ่งทำให้ฉันต้องหันไปบอกกับผู้หญิงคนนั้นว่า
ไม่คะ..ฉันไม่ได้ชื่อนุชค่ะ” เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นหน้าชัด เธอก็ยังคงเรียกชื่อนั้นเหมือนเดิม นุช..เธอจำฉันไม่ได้เหรอไง เรากาญ กาญจนาที่เราเคยฝึกงานด้วยกันไง” เธอยังย้ำคำเดิม ฉันคิดว่ามันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ ทำไม่ผู้หญิงคนนั้นต้องเรียกชื่อเราว่านุช..ด้วย
ไม่คะ..ฉันไม่ได้ชื่อนุชค่ะ” เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นหน้าชัด เธอก็ยังคงเรียกชื่อนั้นเหมือนเดิม นุช..เธอจำฉันไม่ได้เหรอไง เรากาญ กาญจนาที่เราเคยฝึกงานด้วยกันไง” เธอยังย้ำคำเดิม ฉันคิดว่ามันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ ทำไม่ผู้หญิงคนนั้นต้องเรียกชื่อเราว่านุช..ด้วย
ขอโทษค่ะ..คุณจำคนผิดแล้ว” เมื่อพูดเสร็จฉันก็รีบเดินหนีไปทันที
ฉันเริ่มสงสัยว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทักฉันผิด มันหลายครั้งแล้วที่มีคนเรียกชื่อนี้”เอ้..มันไม่ใช่ชื่อฉัน ฉันไม่ได้ชื่อนุช แล้วผู้หญิงที่ชื่อนุชเป็นใคร ทำไมถึงมาเกี่ยวข้องกับฉันด้วย” ยังเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจฉันตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ฉันนั่งทำรายงานอยู่ที่บ้าน ตอนนั้นก็เป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว ฉันรู้สึกหิวข้าวขึ้นมา เลยบอกให้น้องสาวของฉันทำกับข้าวให้กิน เพราะงานที่ฉันทำยังค้างอยู่ไม่อยากทิ้งไปตอนนี้ ครู่เดียว น้องสาวของฉันยกกับข้าวมาให้ฉัน เดินเข้ามายังไม่ทันจะถึงโต๊ะ ทั้งจานข้าว แก้วน้ำ ทุกอย่างก็หล่นจากมือของน้องสาวของฉันเสียงดังเพล้ง..ทำให้ฉันต้องตกใจรีบ หันกลับไปมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่เห็นก็คือน้องสาวของฉันเป็นลม ล้มลงไปนอนกองกับพื้น
กับข้าวหกกระจายเติมไปหมด ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าน้องของฉันอาจไม่สบาย ฉันจึงช่วยประฐมพยาบาลให้จนรู้สึกตัว และรีบถามอาการทันที “หน่อง…เป็นอะไรไปหรือ”น้องสาวฉันไม่ยอมตอบ เอาแต่จองหน้าฉันจนตาแทบไม่กระพริบ ฉันจึงถามเธออีกครั้ง”เอ้า..ถามแล้วก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่จ้องหน้าพี่อยู่นั้นแหละ ทำไมหน้าพี่มันมีอะไรเหรอ”พี่น้อย..หน่องมีอะไรจะบอก” น้องสาวของฉันเริ่มจะยอมพูด
หลังจากให้ฉันพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน”อะไรล่ะ”
“เมื่อกี้..ตอนที่ถือจานข้าวมาให้พี่นะ หน่องเห็นใครไม่รู้ ผู้หญิงผมยาวๆ ยาวมากเลยนะ มานั่งอยู่ตรงที่พี่ทำงาน ไม่สิเขาเป็นตัวพี่เลย เพราะผู้หญิงคนที่หน่องเห็นนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานไม่ใช่พี่ เธอค่อยๆหันหน้ามาหาหน่อง แล้วหน้าของเธอมีแต่บาดแผลเต็มไปหมด เลือดไหลนอง หน่องไม่ได้ตาฝาดนะพี่ หน่องมีสติดีทุกอย่าง ใครก็ไม่รู้อยู่ในตัวพี่ น่ากลัวจริงๆ”เมื่อน้องสาวฉันพูดจบ ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของเธอทันที ปล่อยให้ฉันนั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออก แต่ฉันกลับนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับฉันตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งที่มีคนทักผิด เรือกชื่อผิด แล้วนี่น้องสาวของฉันยังบอกว่าเห็นเธอเป็นใครก็ไม่รู้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
แล้วฉันก็พยายามตั้งสติ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
ว่าความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นกับเธอมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”ใช่แล้ว…ฉันนึกออกแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้น หลังจากที่ฉันไปต่อผมมานี่เอง” ในตอนแรกฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวอะไรด้วยเลย กะอีแค่ผมทำไม่มันถึงมีเรื่องแปลกๆ ประหลาดๆ อย่างนี้เกิดขึ้นกับฉันด้วย แต่พอคิดกลับไปว่าผมที่ฉันต่อมันเป็นผมของใคร เป็นเส้นไหมสังเคราะห์หรือเป็นเส้นผมของคนจริงๆ ฉันเริ่มไม่แน่ใจ ได้แต่คิด..คิด..และคิดจนสับสนไปหมด ฉันมองตัวเองในกระจก มองเส้นผมที่ดำเป็นวาวนั้น แล้วฉันก็ต้องตกใจ อยู่ๆฉันก็เห็นหน้าของใครก็ไม่รู้มาปรากฎซ้อนที่หน้าของฉัน เป็นผ้หญิงผมยาว ยาวยิ่งกว่าผมของฉันอีก ใบหน้าซีดขาวอาบไปด้วยคราบน้ำตา ฉันหลับตาเพราะรู้สึกกลัวกับภาพที่เห็นตรงหน้า พอฉันลืมตามาอีกครั้ง ใบหน้าที่ปรากฏในกระจกก็กลับเป็นหน้าของฉันเองเหมือนเดิม ฉันโล่งอก เพราะคิดว่าตัวเองอาจคิดมากไปก็ได้แต่ฉันยังคงไม่ปล่อยให้เรื่องมันเป็น อย่างนี้
วันต่อมาฉันกลับไปที่ร้านต่อผมอีกครั้ง ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันให้พี่เจ้าของร้านฟัง
ฉันเห็นสีหน้าของพี่เจ้าของร้านแล้วก็พอจะเดาออกทันทีว่าต้องมีสิ่งผิดปกติ เกิดขึ้นแน่ๆ “พี่..บอกความจริงหนูมาเหอะนะไม่งั้นหนูไม่สบายใจ เป็นพี่ พี่จะทำยังไง”
ฉันเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์เล็กน้อย “ก็ได้…พี่จะเล่าให้ฟัง” พี่เจ้าของร้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ และมีสีหน้าสำนึกผิด เรื่องที่พี่เจ้าของร้านเล่าให้ฉันฟังมีอยู่ว่า โดยปกติที่ร้านจะไม่รับซื้อผมของคนจริงๆมาต่อให้ลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นไหมสังเคราะห์แทน แต่ที่แกต้องรับซื้อผมของคนจริงๆนั้นเพราะว่า คนที่นำผมมาขานั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เจ้าของร้านชื่อนุชจรีย์
ฉันเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์เล็กน้อย “ก็ได้…พี่จะเล่าให้ฟัง” พี่เจ้าของร้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ และมีสีหน้าสำนึกผิด เรื่องที่พี่เจ้าของร้านเล่าให้ฉันฟังมีอยู่ว่า โดยปกติที่ร้านจะไม่รับซื้อผมของคนจริงๆมาต่อให้ลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นไหมสังเคราะห์แทน แต่ที่แกต้องรับซื้อผมของคนจริงๆนั้นเพราะว่า คนที่นำผมมาขานั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เจ้าของร้านชื่อนุชจรีย์
วันหนึ่งนุชจรีย์มาทำผมที่ร้าน พี่เจ้าของร้านชมว่าผมของเธอสวยมากสงสัยจะดูแลอย่างดี
นุชจรีย์บอกว่าเธอไว้มา10 กว่าปีแล้ว ไม่เคยตัดเลย เพราะเธอเสียดาย เธอถามพี่เจ้าของร้านว่า”ถ้าเธอขายผมให้ พี่จะซื้อไหม”ตอนแรกพี่เจ้าของร้านจะไม่ซื้อ แต่เธอบอกว่ากำลังร้อนเงิน จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมตัดผมมาขายหลอก พี่เจ้าของร้านเลยใจอ่อนยอมซื้อ ท่าทางของเธอรักและหวงผมมาก ตอนที่ตัดผม น้ำตาเธอไหลตลอดเวลาเลย แต่หลังจากนั้นไม่นาน นุชจรีย์ก็จบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พี่เจ้าของร้านบอกว่ารู้สึกสงสารไม่นึกเลยว่าเธอจะโชคร้ายขนาดนี้ พอฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วก็บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรดี กลัวก็กลัว แต่รู้สึกสลดใจมากกว่า ฉันต้องบอกให้พี่เจ้าของร้านเอาผมที่ต่อออกให้ แล้วฉันก็ชวนพี่เจ้าของร้านไปทำบุญให้เธอ พร้อมกับนำเส้นผมของเธอไปลอยแม่น้ำ โดยหวังว่าเธอคงจะได้เส้นผมแสนรักของเธอคืน
ผี คืออะไร ในความคิด ของคุณ ?
ผีคืออะไร
ในความคิดของคนหลายๆคน ย่อมคิดในแบบที่แตกต่างกัน แต่จริงๆแล้ว
ผีคือจิตวิญญาณของคน สัตว์ ทุกคน มีอยู่ทั้งที่ยังไม่ตายและตายแล้ว แบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับ ต่ำ คือ ผีนรก ผีเปรต ผีอสุรกาย ผีคน ผีในรูปร่างเทวดา ผีในกายทิพย์ รูปร่างพรหม และผีพระนิพพวิญญาณของพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนาน คือ จิตผีที่เราเห็นตามโลกมนุษย์ก็มีมากกว่าคนที่ยังไม่ตาย ผีนั้นก็คือ จิตวิญญาณของคนตายแล้ว สำคัญผิด คือ จิตยึดติดในกายสังขาร เวทนาสัญญา วิญญาณ ความรู้สึกว่าร่างกายเป็นของตนเองจริง ๆ ไม่อยากพลัดพรากจากร่างกาย แม้จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก่อนตายก็ตาม จิตที่เศร้าหมอง เจ็บปวดก่อนตายนั้น เมื่อออกจากร่างกายแล้ว เพราะความยึดติดในร่างกายตนเองจึงต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน โศกเศร้าเสียใจ เสียดายตามความรู้สึกเดิมเมื่อยังไม่ตาย หรือตอนเป็นคนนั้นจิตวิญญาณหรือผีนั้นก็เร่ร่อนพเนจร รอเวลาที่จะไปลงนรก สวรรค์ตามผลบุญ ผลบาปที่ทำไว้ ตอนเป็นคนความจริงแล้ว ตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า จิตเป็นของจริง มาอาศัยอยู่ในกายซึ่งเป็นรูปหยาบ มีส่วนมองไม่เห็นในกายก็คือ ความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกทางระบบประสาททั้งหมด หนาว ร้อน หิว เจ็บ ปวด ก็เป็นของร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ 5 เป็นของแปลกปลอมเป็นของสมมุติชั่วคราว ทั้งนั้น เรียกกันว่า คน สัตว์ เทวดา พรหม ซึ่งต่างก็เป็นของชั่วครู่ ชั่วคราว ในที่สุดก็เป็นความว่างเปล่าสูญสลายทั้งร่างกายคน ร่างทิพย์ เทพ พรหม ดังนั้นคนเรานี้ถ้าฉลาดนิดเดียว จิตใจไม่หมายมั่นกำหนดเอากายขันธ์เป็นของจิตเราแล้ว จิตนั้นก็จะบรรลุถึงพระนิพพานได้ง่าย ๆ ทั้งที่ยังไม่ตาย
วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
เรื่องเล่าผี ของคุณมาร์ค
ประสบการณ์ผีของ คุณมาร์ค เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะ ๆ ให้ฟังว่า… ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณป้าก็ตกลง สำหรับบ้านดังกล่าว เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ร่มรื่นมาก มีต้นไม้เต็มไปหมด ส่วนป้าแม่บ้านก็ให้ตนไปรับ-ส่ง ทุกวันพระ ซึ่งตนก็ไม่ถามไถ่ถึงเหตุผล รู้แค่เพียงว่าบ้านหลังนี้มีชายหญิงคู่หนึ่งอาศัยอยู่ เพราะเขาไปรับ-ส่ง ป้าแกทีไร ก็จะเห็นเขายืนมองอยู่ตรงหน้าต่างเสมอ ๆต่อ มาเมื่อไปนั่งคุยกับเพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ก็ถามไถ่กันตามปกติว่า แม่บ้านลูกค้าประจำของตนเนี่ย ตนไปส่งเขาที่ไหนบ้าง เมื่อตนบอกไปว่าส่งที่บ้านหรูหลังดังกล่าว เพื่อน ๆ ก็บอกว่าบ้านหลังนี้น่ะ เขาเก็บศพไว้บนบ้าน ส่วนตนก็ไม่เชื่อเพราะบ้านหลังนั้นเหมือนบ้านที่มีคนอยู่ปกติ แถมยังมีแม่บ้านเข้า-ออก ไปทำความสะอาดอีกด้วย จน กระทั่งวันหนึ่ง… แม่บ้านวานให้ตนช่วยยกของตรงบริเวณชั้นล่างออกมาหน่อย ขอเวลาตนเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น ตนก็เลยเข้าไปช่วย พอเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก็พบเฟอร์นิเจอร์หรูหรามากมาย ดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วแม่บ้านก็บอกให้ตนช่วยยกของขึ้นชั้นสอง ซึ่งเมื่อยกเสร็จแม่บ้านก็ลงไปหยิบของ โดยบอกกับตนว่า รออยู่ข้างบนแป็บนึงนะ และอย่าเปิดห้อง ๆ นี้ เพราะเป็นห้องของเจ้านาย พอแม่บ้านลงไปปุ๊บ คำที่เพื่อนวินมอเตอร์ไซค์บอกไว้ว่า “บ้านนี้เก็บศพไว้ในบ้าน” ก็ ผุดขึ้นมาในหัวปั๊บ ตนก็เลยจะเดินไปยังห้อง ๆ นั้น เพราะอยากพิสูจน์ให้เพื่อน ๆ รู้ว่าบ้านนี้มันไม่มีอะไร เป็นเพียงบ้านคนธรรมดา แต่พอตนกำลังจะเดินไป ก็เหลือบไปเห็นผู้หญิง-ผู้ชาย คู่หนึ่ง เดินอยู่บริเวณห้องโถงข้าง ๆ และหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ต่อมาเมื่อตนเห็นว่าผู้หญิง-ผู้ชายคู่นั้นเดินเข้าไปแล้ว ก็ตรงไปยังห้องที่แม่บ้านห้ามเข้าทันที เมื่อตนบิดลูกบิดดัง…แกร๊ก และผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องนั้นมีเตียงนอนขนาดใหญ่ และตู้เสื้อผ้า เหมือนห้องนอนปกติ แต่เมื่อตนกำลังปิดประตู จู่ ๆ หางตาซ้ายตนก็เหลือบไปเจอ โลงแก้ว…ข้างในบรรจุร่างไร้ลมหายใจของสองชายหญิงที่ตนเห็นเป็นประจำตรง หน้าต่างดังกล่าว ซึ่งศพอยู่ในชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาว นอนอยู่ข้าง ๆ กันในโลงนั้น … ตนตกใจมาก แต่ก็โวยวายไม่ได้ เพราะป้าแม่บ้านเตือนแล้วว่าห้ามเปิด ตนจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไป …ด้วยอาการช็อก และกลัวขั้นสุด ขาของตน จู่ ๆ ก็สั่นผับ ๆ ยืนไม่ไหว แทบจะร่วงตกบันไดเลยทีเดียว แล้วพอตนหันไปที่ประตูห้องนั้น ก็เห็นผู้หญิง ผู้ชายดังกล่าว ยืนอยู่หน้าห้อง ในสภาพตัวตัวซีด ๆ ตนจึงรีบก้าวลงไปอีกขั้น พอหันมาอีกครั้ง ก็เจอสองคนนั้นยืนอยู่ตรงทางลงบันได คุณมาร์ค เล่าต่อไปว่า คราวนี้ตนก็สติกระเจิงวิ่งลงบันไดทันที และสวนกับป้าแม่บ้านอย่างไว แต่แกกลับจับแขนตนเอาไว้ทัน แล้วก็ดุตนว่า บอกว่าแล้วว่าเปิด ๆ เจอศพแล้วเป็นอย่างไรล่ะ แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ซึ่งตนก็พยักหน้า ๆ แต่ก็บอกว่า ป้าไปคุยกันนอกบ้านดีกว่า ตนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วเมื่อ ออกมานอกบ้าน ตนก็บอกป้าเลยว่า ตนไม่ได้เจอแค่ศพนะ แต่ตนเจอผีด้วย เป็นผีหญิงชายที่ตนเคยเห็นตอนมาส่งป้าทุกครั้ง แล้วถามป้าต่อว่า ทำไมเขาถึงเก็บศพไว้ในบ้าน ทำไมไม่ประกอบพิธีทางศาสนา ป้าแม่บ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่า…ผัวเมียคู่นี้แต่งงานกันใหม่ ๆ และบ้านหลังนี้ก็เป็นเรือนหอของพวกเขา จากนั้นเขาก็ไปฮันนีมูนกัน แต่ขากลับประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งญาติ ๆ ของทั้งคู่ทำใจไม่ได้ อีกทั้งครอบครัวฝ่ายชายยังฝันว่า ผู้ชายไม่อยากไปไหน อยากอยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็จะมีคนเข้ามาฉีดศพ มีแม่บ้านผลัดเปลี่ยนมาทำความสะอาดแทบทุกวัน ส่วนตนมีหน้าที่เอากับข้าวมาให้ทุกวันพระ เมื่อคุณมาร์คถามว่า ค่าจ้างของป้าแม่บ้านได้เท่าไร ป้าแกตอบว่าได้ไม่กี่ตังค์ เพราะป้าเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านหลังนี้ และมาช่วยเพราะเจ้านายเคยมีบุญคุณกับป้าเท่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)